Stay on this page and when the timer ends, click 'Continue' to proceed.

Continue in 17 seconds

สาวลำปางร้องตกเป็นแพะ!โดนบุกจับส่งตัวข้าม จว.กู้เงินสู้คดี 4 ปีพ้นผิดหมดเป็นล้าน ตร.ถูกกักยามแค่ 3 วัน-อัยการเงียบ

สาวลำปางร้องตกเป็นแพะ!โดนบุกจับส่งตัวข้าม จว.กู้เงินสู้คดี 4 ปีพ้นผิดหมดเป็นล้าน ตร.ถูกกักยามแค่ 3 วัน-อัยการเงียบ

Source: mgronline.com

ลำปาง - สาวใหญ่ลำปางร้องสื่อช่วย..หลังตกเป็นแพะรับบาปคดีร่วมกันฉ้อโกง แสดงตนเป็นคนอื่นและซ่องโจร ถูกตำรวจบุกจับคาบ้านยามวิกาลขณะกำลังป้อนข้าวพ่อป่วยอัมพฤกษ์-คุมตัวส่งข้ามจังหวัดทั้งคืน ต้องขอญาติวิ่งกู้เงินสู้คดีเกือบ 4 ปี หมดเป็นล้าน จนศาลยกฟ้อง พอเรียกร้องการเยียวยาศาลชั้นต้นไม่รับฟ้อง ยังไม่ท้อขออุทธรณ์ต่อ

วันนี้ (26 เม.ย.) นางธนภรณ์ หรือ ก้อย กันธจัน อายุ 57 ปี เจ้าของร้านนวดแผนโบราณในลำปาง ได้นำเอกสารต่างๆเข้าร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวเพื่อช่วยตีแผ่เรื่องราวของเธอและเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเองและครอบครัว หลังตกเป็นแพะรับบาปถูกตั้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและซ่องโจร

เพียงแค่มีเบอร์ปรากฏการติดต่ออยู่ในโทรศัพท์ลูกค้าร้านนวดซึ่งเป็นหนึ่งในแก๊งมิจฉาชีพในช่วงเวลาที่ผู้เสียหายถูกกลุ่มมิจฉาชีพแจ้งความว่าถูกหลอกลวงเท่านั้น จนต้องต่อสู้คดีเกือบ 4 ปี ต้องปิดร้าน หยุดงาน รายได้หายเกลี้ยง เริ่มเป็นหนี้สินเพื่อหาเงินประกันตัว-เดินทางข้ามจังหวัด-ขนพยานต่อสู้คดี หมดเงินไปกว่าล้านบาท สุดท้ายต้องสูญเสียพ่อ หลังทราบลูกพ้นคดีไม่กี่วัน

นางก้อยเล่าด้วยความอัดอั้นตันใจว่า ตนเป็นเจ้าของร้านนวดแผนโบราณ แต่ละวันก็จะมีลูกค้ามาใช้บริการหลากหลายอาชีพ ซึ่งไม่ทราบว่าจะเป็นใครบ้าง หน้าที่คือให้บริการ ลูกค้าคนไหนที่มาใช้บริการเป็นประจำ ก็จะบันทึกชื่อไว้ในโทรศัพท์ เพราะบางครั้งลูกค้าจะโทรมาสอบถามเวลาที่ว่าง เพื่อจะได้นัดเข้ามาใช้บริการไม่ให้เสียเวลามานั่งรอ

ซึ่งลูกค้ารายหนึ่งคือ "เฮียเล็ก" ที่ตนบันทึกชื่อไว้ในโทรศัพท์ ก็เป็นลูกค้าที่มาใช้บริการบ่อย ก็จะโทรมาสอบถามก่อนเข้ามา บางครั้งโทรมาตนเองไม่ได้รับสายเพราะต้องดูแลพ่อที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ตนก็จะโทรกลับ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ

กระทั่งวันที่ 27 ก.ค. 2563 ช่วงค่ำ ซึ่งตนจำภาพติดตาอยู่จนถึงวันนี้ ขณะกำลังป้อนข้าวให้พ่อ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองลำปาง เข้ามาจับกุมตนซึ่งตั้งตัวไม่ทันและไม่รู้เลยว่าถูกดำเนินคดีเรื่องอะไร คนในบ้านพ่อก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก ตำรวจจับกุมตนและนำขังในห้องขัง จนกระทั่ง 2 ทุ่มกว่าๆ รถตู้ สภ.ภูเพียง จ.น่าน ก็มาเอาตัวไป สภ.ภูเพียง ทันที โดยไม่รู้ว่าที่ไหน ไม่รู้อะไรเลย เพราะไม่เคยไปจังหวัดน่าน ไม่รู้เส้นทาง เมื่อไปถึงก็นำตนเข้าห้องขังทันที บอกเลยว่า..จิตตกมากทำอะไรไม่ถูกเลย

จนเช้าวันรุ่งขึ้น(28 ก.ค.63) พ.ต.ท.ธีรวัฒน์ วังแสง ตำรวจเจ้าของคดี ของนางนงเยาว์ ภูเขียว ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่มาแจ้งความดำเนินคดีไว้กรณีถูกแก็งมิจฉาชีพหลอกให้นำเงินมาร่วมไถ่ถอนที่ดินเพื่อนำไปขายต่อ สูญเงินไป 4 แสนบาท โดยมีผู้ร่วมขบวนกร 5 คน ซึ่ง1 ใน 5 คน ที่ผู้แจ้งระบุว่าชื่อเจี๊ยบ เคยพบกับผู้ร้อง 2-3 ครั้ง แต่กลับจำหน้าคนชื่อเจี๊ยบไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องแกะรอยจากหมายเลขโทรศัพท์ของ 1 ใน5 มิจฉาชีพว่าได้โทรศัพท์ไปยังหมายเลขไหนในช่วงเกิดเหตุ ซึ่งก็มาตรงกับหมายเลขของตนที่ลูกค้าร้านนวด ที่ชื่อ "เฮียเล็ก"โทรติดต่อเกี่ยวกับการนวด

จนท.ตำรวจจึงขอคัดสำเนาบัตรจากซิมมือถือและคัดสำเนาบัตรจากทะเบียนให้ผู้ร้องดู ผู้ร้องยืนยันว่าคือตนเอง จึงขอศาลออกหมายจับทันที โดยไม่มีหมายเรียกใดๆก่อน จนกระทั่งบุกไปจับกุมตัวส่งมาที่ สภ.ภูเพียง และ พ.ต.ท.ธีรวัฒน์ ได้โทรศัพท์เรียกนางนงเยาว์มาชี้ตัว เมื่อมาถึง จนท.ตำรวจให้นางนงเยาว์เข้าไปพบในห้องประมาณ 10 นาที ก่อนที่นางนงเยาว์จะออกมาชี้ตัว ซึ่งมีตนเพียงคนเดียว ก่อนยืนยันว่าตนเองคือ คนชื่อเจี๊ยบ หนึ่งในแก็งมิจฉาชีพที่ไปหลอกลวง

"ตนก็ปฎิเสธและถามนางนงเยาว์เราเคยเจอกันเมื่อไหร่ เพราะตนไม่เคยมาจังหวัดน่านเลย แต่นางนงเยาว์ก็ยืนยันว่าเป็นตน สุดท้าย ตำรวจส่งสำนวนให้อัยการ อัยส่งศาลและฟ้องตนเองเป็นจำเลย"

จากนั้นตนต้องวิ่งต่อสู้คดี ต้องเดินทางระหว่างจังหวัดลำปาง ไปกลับ จังหวัดน่าน ขนพยานยืนยันสถานที่อยู่เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองว่าอยู่ที่จังหวัดลำปางตลอด ต้องเดินทางไปให้ปากคำหลายต่อหลายครั้ง ตลอดระยะเกือบ 4 ปี ซึ่งระหว่างต่อสู้คดี ได้มีการสืบสวนติดตามดูภาพจากกล้องวงจรปิด จนทราบรูปพรรณสันฐานว่าแก็งมิจฉาชีพเป็นโคร แต่นางนงเยาว์กลับไม่ดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านั้น ยังเจาะจงตนเพียงคนเดียว ทั้งๆที่ตนไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเดินทางมาจังหวัดน่าน จนกระทั่งศาลยกฟ้อง เมื่อตุลาคม 2566 เมื่อพ่อทราบว่าคดีสิ้นสุดแล้วตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่กี่วันพ่อก็เสียชีวิตเหมือนกับต้องการจะรอดูลูกให้พ้นผิดก่อนแล้วก็จากไป

นางก้อย บอกอีกว่าเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ตนได้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ให้พิจารณาดำเนินการทางอาญา ในมาตรา 157 แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดี และ พนักงานอัยการที่นำสำนวนส่งฟ้องจนตนได้รับความเดือดร้อนและเสียหายปรากฏว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดี ไม่ทำการสืบสวนหรือสอบสวนขยายผลจับกุมคนร้ายซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดที่แท้จริงในคดี ถูกลงโทษทางวินัยให้กักยามเป็นเวลา 3 วันเท่านั้น ส่วนอัยการยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

ขณะเดียวกัน ตนตัดสินใจฟ้องนางนงเยาว์ และ นายสมัย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ,90 ,91 ,137 , 173 , 174 ,175 ,177 ,181 พร้อมเรียกค่าเสียหาย แต่ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหาแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ( 137,177) ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง ซึ่งตนเองไม่เข้าใจว่าทั้งที่เอกสารหลักฐานทางสำนวนระบุชัดเจนว่าทั้งสองสามีภรรยาเป็นผู้ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ รู้ว่าตนเองไม่ใช่คนร้ายแต่ทำไมศาลถึงไม่เชื่อ

ซึ่งขณะนี้ตนเองข้อสู้ให้ถึงที่สุดเดินหน้าอุทธรณ์เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมและได้รับการเยียวยาจากเหตุการณ์ที่ตนเองตกเป็นแพะในครั้งนี้ ซึ่งประชาชนคนบริสุทธิ์ไม่ควรเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้โดยไร้ผู้ที่รับผิดชอบ